Last updated: 24 มิ.ย. 2567 | 2453 จำนวนผู้เข้าชม |
อุตสาหกรรมเพชรและอัญมณีจากห้องแลปเริ่มมีการคิดค้นมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2497 และต่อมาได้เริ่มมีการคิดค้นการปลูกเพชรในห้องปฏิบัติการขึ้น แต่คุณภาพและความเหมือนนั้นยังไม่ใกล้เคียงเพชรแท้จากธรรมชาติ แต่ในปัจจุบันเพชร CVD (Lab grown diamond) นั้นสามารถปลูกได้โดยมีคุณสมบัติไม่ต่างจากเพชรแท้จากธรรมชาติ จึงเป็นที่นิยมและมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีวิธีการปลูกเพชรในห้องปฏิบัติการที่เป็นที่รู้จัก 2 วิธี คือ
เพชร CVD (CHEMICAL VAPOR DEPOSITION) เป็นกระบวนการผลิตเพชรในเครื่องสูญญากาศ โดยวางถาดตั้งต้นที่เรียกว่า SEED อยู่ด้านใน จากนั้นนำก๊าซมีเทนเข้าไป ใช้ความร้อนที่อุณภูมิ 700-1,000 องศา จะมีของเหลวที่คอยจับแยกโมเลกุลของไฮโดรเจนออกแล้วให้คาร์บอนลงบน SEED เกิดเป็นผลึกเพชร ลักษณะแท่งสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า HPHT ในหลักชั่วโมงเท่านั้น โดยประมาณ 1 มิล ต่อ 1 ชัวโมง สามารถกำหนดขนาดผลึกเล็กใหญ่ตามต้องการ ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนเพชรแท้ในทุกด้าน ทั้งเคมี กายภาพ สี ความสะอาด ลักษณะตำหนิ บางครั้งจึงถูกเรียกว่าเพชรแท้ที่สร้างขึ้น
เพชร HPHT ( HIGH PRESSURE HIGH TEMPERATURE) คิดค้นในอเมริกาเมื่อราวปีพ.ศ. 2538 ต่อมาได้มีการปลูกในหลายประเทศ เช่น แอฟริกา รัสเซีย โดยใช้หลักของความดันกดทับปริมาณมหาศาล ราวๆ 100,000 ATM ที่อุณภูมิ 1,000-4,000 องศา เพื่อจัดระยะของอะตอมให้ชิดขึ้น และสร้างการเรียงตัวของผลึกขึ้น ใช้เวลาราวๆ สัปดาห์ผลึกจะก่อตัวเป็นเพชร กระบวนการระหว่างปลูกจะมีการใช้เหล็กเป็นตัวช่วยลดจุดหลอมเหลว จึงอาจมีแร่เหล็กปนอยู่ในเนื้อเพชร ซึ่งหากมองตาเปล่าอาจจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผลึกคาร์บอนได้ ซึ่งเราจะใช้จุดนี้ในการตรวจสอบเพชรด้วยการใช้แม่เหล็กดูจับเพชร HPHT ออกจากเพชรแท้ได้
เพชรทั้ง 2 แบบจะแตกต่างจากเพชรเลียนแบบ หรือ ที่ทั่วไปเรียกว่าเพชรปลอม เช่น เพชรรัสเซีย(CZ) โมอิส(Moissanite) ที่จะคล้ายเพชรแท้ แต่สามารถแยกด้วยตาเปล่าหรือกล้องส่องพระทั่วไปได้ ซึ่งแตกต่างกันกับ CVD และ HPHT ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพ ทางเคมี และ ความคงทน เช่นเดียวกับเพชรธรรมชาติ
20 มิ.ย. 2566
22 มี.ค. 2566
20 มิ.ย. 2566